เมนู

สมณะกล่าวถ้อยคำใดมากที่เข้าถึงประโยชน์
ประกอบด้วยประโยชน์ รู้ถ้อยคำนั้นอยู่
ย่อมแสดงธรรม.
สมณะผู้นั้นรู้อยู่ ย่อมกล่าวถ้อยคำ
มาก สมณะใดรู้อยู่ สำรวมตน สมณะนั้น
รู้เหตุที่ไม่นำประโยชน์เกื้อกูล และความสุข
มาให้แก่สัตว์ทั้งหลาย ย่อมไม่กล่าวมาก
สมณะผู้นั้นเป็นมุนี ย่อมควรซึ่งปฏิปทา
ของมุนี สมณะนั้นได้ถึงธรรมเครื่องเป็นมุนี
แล้ว.

จบนาลกสูตรที่ 11

อรรถกถานาลกสูตรที่ 11


นาลกสูตร มีคำเริ่มต้นว่า อานนฺทชาเต ผู้ที่ใจชื่นชม ดังนี้.
พระสูตรนี้มีการเกิดขึ้นอย่างไร ?
มีเรื่องเล่าว่าดาบสชื่อว่า นาลกะ เป็นหลานของ อสิตฤษี เห็น
สาวกของพระผู้มีพระภาคเจ้าพระนามว่าปทุมุตระ ปฏิบัติโมเนยยปฏิปทา
(ปฏิบัติเพื่อความเป็นมุนี) จึงหวังเป็นอย่างยิ่งที่จะเป็นอย่างนั้น จำเดิมแต่นั้น
ได้บำเพ็ญบารมีแสนกัป ได้ทูลถามโมเนยยปฏิปทากะพระผู้มีพระภาคเจ้าด้วย

คาถาสองคาถามีอาทิว่า อญฺญาตเมตํ ข้าพระองค์ได้รู้ตามคำของอสิตฤษี
ดังนี้. ในวันที่ 7 จากวันที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงยังธรรมจักรให้เป็นไปแล้ว
พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงพยากรณ์โมเนยยปฎิปทานั้นแก่นาลกดาบสโดย
นัยมีอาทิว่า โมเนยฺยนฺเต อุปญฺญิสฺสํ เราจักบัญญัติปฏิปทาของมุนีแก่ท่าน
ดังนี้. ก็เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จดับขันธปรินิพพานแล้ว ท่านพระอานนท์
อันท่านพระมหากัสสปผู้ทำสังคายนาถามโมเนยยปฏิปทานั้น ประสงค์จะแสดง
กระทำเรื่องราวทั้งหมดในขณะที่นาลกดาบสถูกชักชวนทูลถามพระผู้มีพระภาค-
เจ้าให้ปรากฏ จึงกล่าววัตถุคาถา 20 คาถา มีอาทิว่า อานนฺทชาเต ดังนี้.
ท่านเรียกเรื่องแม้ทั้งหมดนั้นว่า นาลกสูตร.
ในบทเหล่านั้น บทว่า อานนฺทชาเต ได้แก่ เป็นผู้สำเร็จ คือถึง
ความเจริญ. บทว่า ปตีเต คือยินดี. อีกอย่างหนึ่ง บทว่า อานนฺทชาเต
คือชื่นชม. บทว่า ปตีเต คือ มีความโสมนัส. บทว่า สุจิวสเน คือในที่อยู่อัน
ไม่เศร้าหมอง. จริงอยู่ที่อยู่ของเทวดาทั้งหลายเกิดจากต้นกัลปพฤกษ์ จึงไม่จับ
ละอองหรือมลทิน. บทว่า ทุสฺสํ คเหตฺวา ได้แก่ ยกผ้าทิพย์ที่ได้ชื่อว่า ทุสฺสํ
เพราะเป็นเช่นผ้าในโลกนี้. บทว่า อสิโต อิสิ คืออสิตฤษี ที่ได้ชื่ออย่างนี้
เพราะมีผิวกายดำ. บทว่า ทิวาวิหาเร คือในที่พักกลางวัน. คำที่เหลือโดย
บทง่ายทั้งนั้น แต่โดยความสัมพันธ์กัน นัยว่า อสิตฤษีนี้เป็นปุโรหิตของ
พระเจ้าสีหหนุพระชนกของพระเจ้าสุทโธทนะ ได้เป็นอาจารย์บอกศิลปะแต่ครั้ง
พระเจ้าสุทโธทนะยังมิได้อภิเษก ครั้นอภิเษกแล้วได้เป็นปุโรหิต. เมื่ออสิตฤษี
มารับราชการในเวลาเย็นและเวลาเช้า พระราชามิได้ทรงทำความเคารพเหมือน
เมื่อครั้งยังทรงพระเยาว์ ทรงกระทำเพียงยกพระหัตถ์ประนมเท่านั้น. นัยว่า

นี้เป็นธรรมดาของเจ้าศากยะทั้งหลายที่ได้อภิเษกแล้ว. ปุโรหิตเบื่อหน่ายด้วย
การรับราชการ จึงกราบทูลว่า ข้าแต่มหาราช ข้าพระองค์จะบรรพชาพระเจ้า
ข้า. พระราชาทรงทราบความตั้งใจแน่วแน่ของปุโรหิตนั้น จึงตรัสขอร้องว่า
ท่านอาจารย์ถ้าเช่นนั้น ขอให้ท่านอาจารย์อยู่ในอุทยานของข้าพเจ้าเถิด โดยที่
ข้าพเจ้าจะไปเยี่ยมท่านอาจารย์เสมอ ๆ. ปุโรหิตรับกระแสะพระดำรัสแล้ว
บรรพชาเป็นดาบส พระราชาทรงอุปถัมภ์อยู่ในสวนนั่นเอง ดาบสกระทำ
กสิณบริกรรมยังสมาบัติ 8 และอภิญญา 5 ให้เกิดแล้ว. ตั้งแต่นั้นมา อสิต-
ดาบสนั้นก็ไปฉันในราชตระกูล แล้วไปพักกลางวัน ณ ป่าหิมพานต์ สวรรค์
ชั้นจาตุมมหาราชิกา และนาคพิภพเป็นต้น แห่งใดแห่งหนึ่ง.
อยู่มาวันหนึ่งอสิตดาบสได้ไปสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ เข้าไปยังรัตนวิมาน
นั่งบนทิพพรัตนบัลลังก์ เสวยสมาธิสุข ตอนเย็นจึงออกจากสมาธิแล้วไปยืนอยู่
ที่ประตูวิมาน เหลียวแลดูข้างโน้นข้างนี้ ได้เห็นทวยเทพมีท้าวสักกะเป็นประมุข
ยกผืนผ้าทิพย์ที่ถนนใหญ่ประมาณ 60 โยชน์ แล้วกล่าวคำชมเชยคุณของพระ-
โพธิสัตว์รื่นเริงอยู่. ด้วยเหตุนั้นท่านพระอานนท์ จึงกล่าวว่า อานนฺทชาเต
ฯเปฯ ทิวาวิหาเร
ความว่า อสิตฤษีอยู่ในที่พักกลางวันได้เห็นท้าวสักกะจอมเทพ
และเทวดาคณะไตรทศผู้มีใจชื่นชม มีปีติโสมนัสยกผ้าทิพย์ขึ้นเชยชมอยู่อย่าง
เหลือเกินในที่อยู่อันสะอาด ดังนี้. ครั้นอสิตฤษีเห็นอย่างนั้นแล้วจึงทำความ
เคารพ แล้วได้ถามทวยเทพผู้มีใจเบิกบานบันเทิงในที่นั้นว่า เพราะเหตุไร
ทวยเทพจึงเป็นผู้ยินดีอย่างเหลือเกิน ท่านทั้งหลายยกผ้าทิพย์ขึ้นแล้วรื่นรมย์
อยู่เพราะอาศัยอะไร.

ในบทเหล่านั้นบทว่า อุทคฺเค คือมีกายสูงยิ่ง. บทว่า จิตฺตํ กริตฺ วา
ได้แก่ ทำความเคารพ. บทว่า กลฺยาณรูโป คือยินดีมาก. บทที่เหลือมีความ
ง่ายทั้งนั้น.
บัดนี้ พึงทราบคาถามีอาทิว่า ยทาปิ อาสิ แม้คราวใดได้มีสงคราม
กับพวกอสูร ดังนี้ มีความเชื่อมกันง่ายทั้งนั้น. แต่พึงทราบความแห่งบทใน
คาถาต้นก่อน บทว่า สงฺคโม ได้แก่ สงคราม. บทว่า ชโย สุรานํ คือ
พวกเทวดาชนะ. เพื่อความแจ่มแจ้งของบทนั้น พึงทราบกถาตามลำดับต่อไปนี้.
มีเรื่องเล่ามาว่า ท้าวสักกะเป็นมาณพชื่อมาฆะเป็นใหญ่ในมนุษย์ 33
คน ผู้เป็นชาวบ้านมจลคาม ในแคว้นมคธ บำเพ็ญวัตตบท 7 บังเกิดในดาวดึงส์
พิภพพร้อมกับบริษัท. ลำดับนั้นพวกเทวดาก่อน ๆ กล่าวกันว่า พวกเทพบุตร
ผู้เป็นอาคันตุกะมาแล้ว พวกเราจักต้อนรับพวกเขาจึงน้อมนำดอกบัวทิพย์เข้าไป
ให้และเชื้อเชิญให้ครองราชสมบัติกึ่งหนึ่ง. ท้าวสักกะไม่ทรงยินดีด้วยราชสมบัติ
เพียงกึ่งหนึ่ง จึงประกาศให้บริษัทของตรู่ วันหนึ่งเมื่อเทวดาก่อน ๆ เมาจึง
จับเท้าขว้างไปที่เชิงเขา สิเนรุ. ณ พื้นชั้นล่างของภูเขาสิเนรุของทวยเทพ
เหล่านั้นเกิดอสูรภพประมาณหมื่นโยชน์ งดงามด้วยจิตตปาฎลีปกคลุมดอกไม้
สวรรค์. แต่นั้นพวกบุรพเทวดาทั้งหลายเหล่านั้นครั้นได้สติไม่เห็นดาวดึงส์พิภพ
จึงกล่าวกันว่า โอ ! ร้ายจริงพวกเราพากันฉิบหาย เพราะโทษที่ดื่มสุราจนเมา
มาย บัดนี้พวกเราจะไม่ดื่มสุราอีกแล้ว พวกเราจะดื่มที่ไม่ใช่สุรา บัดนี้พวกเรา
มิได้เป็นเทวดาแล้ว พวกเราเป็นอสูรแล้ว ตั้งแต่นั้น ก็มีชื่อเกิดขึ้นว่า อสุรา
คิดกันว่าพวกเราจะทำสงครามกับพวกเทวดาในบัดนี้ จึงพากันไปเบื้องหน้าภูเขา

สิเนรุ. ลำดับนั้นท้าวสักกะขึ้นไปรบกะพวกอสูร ขว้างลงในมหาสมุทรอีก
สร้างรูปเปรียบพระอินทร์คล้ายพระองค์ตั้งไว้ที่ประตู 4 ด้าน. พวกอสูรคิดว่า
ท้าวสักกะนี้ช่างไม่ประมาทดีจริงหนอ มายืนอยู่ได้เป็นนิจ. แล้วพากันกลับ
เข้าเมือง. ลำดับนั้นทวยเทพประกาศชัยชนะของตน ยกผืนผ้าทิพย์ขึ้นที่ถนน
ใหญ่พากันเล่นนักษัตร.
ครั้งนั้น อสิตฤษี เพราะตนสามารถระลึกชาติในอดีตและอนาคตได้
ตลอด 40 กัป จึงรำพึงว่า ทวยเทพเหล่านี้เคยเล่นนักษัตรอย่างนี้เหมือนใน
กาลก่อนหรือหนอ เห็นเทพชนะสงครามระหว่างเทวดากับอสูร จึงกล่าวว่า
ยทาปิ อาสิ อสุเรหิ ฯเปฯ โลมหํโส ความว่า แม้คราวใดได้ที่สงครามกับ
พวกอสูร พวกเทวดาชนะ พวกอสูรแพ้ แม้คราวนั้นขนลุกพองเช่นนี้ก็มิได้
มี. บทว่า กิมพฺภูตํ ทฏฺฐุ มรู ปโมทิตา ความว่า วันนี้เทวดาทั้งหลาย
ได้เห็นเหตุอะไรซึ่งไม่เคยมีมา จึงพากันเบิกบานอย่างนี้.
พึงทราบวินิจฉัยใน คาถาที่ 2 ดังนี้. บทว่า เสเฬนฺติ คือ เทวดา
ทั้งหลายเปล่งเสียงชมเชย. ขับร้องหลายอย่าง ประโคมดนตรี 68,000 ชิ้น.
บทว่า โผเฏนฺติ คือปรบมือ. บทว่า ปุจฺฉามิ โวหํ เราขอถามท่านทั้งหลาย
คือ อสิตฤษีแม้สามารถจะรู้ได้ด้วยตนเอง ก็ถามเพราะประสงค์จะฟังคำของ
พวกเทพเหล่านั้น. บทว่า เมรุมุทฺธวาสิเน คือ ผู้อยู่บนยอดเขาสิเนรุ. จริง
อยู่ ณ พื้นชั้นล่างของของเขาสิเนรุมีอสุรภพประมาณ 10,000 โยชน์. ณ พื้น
ชั้นกลางมีมหาทวีป 4 มีทวีปน้อยประมาณ 2,000 เป็นบริวาร. ณ พื้นชั้นบน

มีดาวดึงส์พิภพ 10,000 โยชน์. เพราะฉะนั้น ท่านจึงกล่าวว่า สิเนรุมุทฺธ-
วาสิโน
ผู้อยู่บนยอดเขาสิเนรุ. บทว่า มาริสา อสิตฤษีเรียกพวกเทวดา.
ท่านอธิบายว่า เป็นผู้ไม่มีทุกข์ และไม่มีโรค.
ต่อไปพึงทราบวินิจฉัยในคาถาที่ 3 ซึ่งเทวดาทั้งหลายบอกความนั้น
แก่อสิตฤษีได้กล่าวแล้ว. บทว่า โพธิสตฺโต ได้แก่ สัตว์ผู้จะตรัสรู้ คือ สัตว์ผู้
ควรบรรลุสัมมาสัมโพธิญาณ. บทว่า รตนวโร คือ ผู้เป็นรัตนะอันประเสริฐ. บท
ว่า เตนมฺหา ตุฏฺฐา คือ เพราะเหตุนั้นพวกเราจึงยินดี. เพราะว่าพระโพธิสัตว์
นั้น ครั้นบรรลุความเป็นพุทธะแล้วจักแสดงธรรมโดยประการที่พวกเราและเหล่า
เทพอื่นจักบรรลุภูมิของพระเสกขะและพระอเสกขะได้ แม้มนุษย์ทั้งหลายเหล่า
ใดฟังธรรมของท่านแล้วยังไม่สามารถจะปรินิพพานได้ มนุษย์ทั้งหลายเหล่านั้น
จักทำทานเป็นต้น แล้วไปบังเกิดในเทวโลกได้ นัยว่านี้เป็นอธิบายของหมู่เทพ
เหล่านั้นด้วยประการฉะนี้. ในบทเหล่านั้นบทว่า ตุฏฺฐา กลฺยรูปา พวกเรา
พากันยินดีเบิกบาน ความว่า สองบทนี้ไม่ต่างกันก็จริงถึงดังนั้น พวกเทวดา
เห็นอะไรที่ไม่เคยมีมาแล้ว จึงพากันเบิกบาน การรบของเทวดาน่าเบิกบาน
นักหรือ พึงทราบว่าท่านกล่าวไว้เพื่อแก้สองปัญหา ดังนี้.
บัดนี้ พึงทราบความแห่งคาถาที่ 4 ที่เทวดาทั้งหลายกล่าวชี้แจงถึง
ความประสงค์เมื่อพระโพธิสัตว์อุบัติแล้วพวกเขาพากันยินดี. พระสังคีติกาจารย์
แสดงความที่พระโพธิสัตว์เป็นผู้ประเสริฐในคติทั้ง 5 ด้วยสองบทเหล่านี้
แสดงถึงการถือกำเนิดเป็นเทวดาและมนุษย์ด้วย สัตต ศัพท์ แสดงการถือคติ
ที่เหลือด้วย ปชา ศัพท์. จริงอยู่แม้สัตว์เดรัจฉานทั้งหลายมีสีหะเป็นต้นก็ยัง

ประกอบด้วยคุณมีความไม่หวาดสะดุ้งเป็นต้น พระโพธิสัตว์นี้แหละทำให้สัตว์
แม้เหล่านั้นหวาดสะดุ้งได้ เพราะฉะนั้นท่านจึงกล่าวว่า ปชานมุตฺตโม เป็นผู้
สูงสุดกว่าหมู่สัตว์ทั้งหลาย. ก็ในบรรดาเทวาและมนุษย์ทั้งหลาย ในบุคคล 4
จำพวก มีผู้ปฏิบัติเพื่อประโยชน์ตนเป็นต้นเหล่านั้น ผู้ปฏิบัติเพื่อประโยชน์ทั้ง
สองนี้เป็นอัครบุคคล และเป็นผู้องอาจกว่านรชนเพราะเป็นเช่นกับโคอุสภะใน
หมู่ชน. ด้วยเหตุนั้นเทวดาทั้งหลายเมื่อจะกล่าวสรรเสริญพระโพธิสัตว์นั้น
จึงกล่าวบททั้งสองนี้.
พึงทราบวินิจฉัยในคาถาที่ 5. บทว่า ตํ สทฺทํ ความว่า อสิตฤษี
ได้ฟังคำที่เทวดาทั้งหลายได้กล่าวแล้วนั้น. บทว่า อวสริ คือรีบลง. บทว่า
ตทภวนํ ตัดบทเป็น ตทา ภวนํ ได้แก่ เข้าไปยังที่ประทับของพระเจ้า-
สุทโธทนะในขณะนั้น.
พึงทราบวินิจฉัยในคาถาที่ 6. บทว่า ตโต ได้แก่ ต่อจากคำของ
อสิตฤษี. บทว่า อุกฺกามุเขว คือ เหมือนทองคำที่ปากเบ้า. อธิบายว่า
เหมือนทองคำบริสุทธิ์ในเบ้า. บทว่า สุกุสลสมฺปหฏฺฐํ ได้แก่ นายช่างทอง
ผู้ฉลาดหลอมดีแล้ว อธิบายว่า หล่อหลอม. บทว่า ททฺทลฺลมานํ คือ ผู้
รุ่งเรื่อง. บทว่า อสิตวฺหยสฺส คือแก่ฤษีชื่ออสิตะ. ชื่อที่สองว่ากัณหเทวิลฤษี.
พึงทราบวินิจฉัยในคาถาที่ 7. บทว่า ตาราสภํ วา คือ เหมือน
ความรุ่งเรื่องของดวงดาว. อธิบายว่า เหมือนพระจันทร์. บทว่า วิสุทฺธํ
คือเว้น จากอุปกิเลสมีหมอกเป็นต้น. บทว่า สรทริว คือ ดุจในสรทกาล.
บทว่า อานนฺทชาโต เกิดความยินดี คือ เกิดปีติโดยเพียงได้ยินเท่านั้น.
บทว่า อลตฺถ ปีตึ ได้ปีติ คือครั้นเห็นแล้วก็ได้ปีติยิ่งขึ้น.

ต่อจากนั้นพึงทราบวินิจฉัยในคาถาที่ 8 ที่พวกเทวดากล่าวแก่พระ-
โพธิสัตว์ เพื่อแสดงสักการะอันประกอบขึ้นเอง. บทว่า อเนกสาขํ คือมีซี่
เป็นอันมาก. บทว่า สหสฺสมณฑลํ มีมณฑลตั้งพัน คือประกอบด้วยมณฑล
ตั้งพันสำเร็จด้วยทองคำสีแดง. บทว่า ฉตฺตํ คือ เศวตฉัตรอันเป็นทิพย์.
บทว่า วีติปตนฺติ ตกลงอยู่ คือ จามรด้ามทองทั้งหลายค้อมลงมาพัดวีสรีระ.
พึงทราบวินิจฉัยในคาถาที่ 9, บทว่า ชฏี ได้แก่ ชฎิล. บทว่า กณฺ-
หสิริวฺหโย
ฤษี ชื่อว่า กัณหสิริ คือ เรียกชื่อด้วย กัณหศัพท์และสิรีศัพท์.
ท่านอธิบายไว้ว่า ได้ยินว่า เรียกชื่อท่านว่าสิริกัณหะบ้าง. บทว่า ปณฺฑุกมฺพเล
ได้แก่บนผ้ากัมพลแดง. ก็เรื่องราวในที่นี้ควรกล่าวว่า ซึ่งพระกุมาร หรือควร
ทำปาฐะที่เหลือไว้. อนึ่งในคาถาต้นท่านกล่าวว่า ทิสฺวา เห็นเเล้ว หมายถึงเข้า
ไปถึงหัตถบาส. แต่บทว่า ทิสฺวา นี้หมายถึงนำเข้ารับถึงหัตถบาส เพราะ
ฉะนั้น ท่านจึงกล่าวว่า ทิสฺวา ซ้ำอีก. ท่านกล่าวถึงทัศนะมีในก่อน หรือการมุ่ง
เพื่อได้ปีติ เพราะคำว่า วิปุลมลตฺถ ปีตึ ได้ปีติไพบูลในที่สุดคาถา กล่าว
การมุ่งเพื่อรับนี้ เพราะคำว่า สุมโน ปฏิคฺคเห ดีใจรับเอาในที่สุด. อนึ่ง
บทก่อนเกี่ยวกับพระกุมาร บทนี้เกี่ยวกับเศวตฉัตร ได้เห็นพระกุมารดุจแท่ง-
ทองบนผ้ากัมพลแดงของแคว้นคันธาระมีค่า 100,000 และเศวตฉัตรที่กั้นอยู่
บนพระเศียร ดังที่ได้กล่าวแล้วในบทนี้ว่า ฉตฺตํ มรู พวกเทวดากั้นเศวต-
ฉัตร ดังนี้. แต่อาจารย์บางพวกกล่าวว่า ฉัตรนี้ท่านกล่าวหมายถึงฉัตรอันเป็น
ของมนุษย์. แม้พวกมนุษย์ ก็ถือ ฉัตรจามร ฉัตรหางนกยูง ใบตาล และพัด
วาลวีชนีเข้าไปหาพระมหาบุรุษเหมือนเทวดาทั้งหลายได้เหมือนกัน. เมื่อเป็น

เช่นนั้นก็ไม่มีอะไรดียิ่งไปด้วยคำของอสิตฤษีนั้น เพราะฉะนั้นตามที่ท่านกล่าว
ไว้ก็ดีแล้ว. บทว่า ปฏิคฺคเห ได้แก่ ฤษีเอามือทั้งสองรับไว้. นัยว่า เจ้า-
ศากยะทั้งหลายนำพระกุมารเข้าไปเพื่อให้ไหว้พระฤษี. ครั้งนั้นพระบาททั้งสอง
ของพระกุมารก็กลับไปตั้งอยู่บนศีรษะของพระฤษี. พระฤษีเห็นความอัศจรรย์
ดังนั้น มีความชื่นชมยินดีรับไว้.
พึงทราบวินิจฉัยในคาถาที่ 10. บทว่า ชิคึสโต ได้แก่ปรารถนาค้น
คว้า แสวงหา. ท่านอธิบายว่า เข้าไปตรวจตรา. บทว่า โส ลกฺขณมนฺตปารคู
เรียนจบลักษณะมนต์ คือ พระฤาษีนั้นถึงฝั่งแห่งลักษณะและแห่งเวททั้งหลาย.
บทว่า อนุตฺตรายํ คือ พระกุมารนี้ไม่มีผู้อื่นยิ่งกว่า. นัยว่าอสิตฤษีนั้นเห็น
จักรที่ฝ่าพระบาทของพระมหาสัตว์อยู่เฉพาะหน้าของตน จึงตรวจตราดูพระ-
ลักษณะที่เหลือโดยทำนองนั้น ครั้นเห็นความสมบูรณ์แห่งพระลักษณะทั้งหมด
ก็รู้ว่า พระกุมารนี้จักเป็นพระพุทธเจ้าแน่นอนจึงกล่าวอย่างนี้.
พึงทราบวินิจฉัยในคาถาที่ 11. คำว่า อถตฺตโน คมนํ ได้แก่
เข้าถึงอรูปด้วยอำนาจปฏิสนธิ. บทว่า อกลฺยรูโป คฬยติ อสฺสุกานี
เป็นผู้เสียใจถึงน้ำตาตก คือ อสิตฤษีระลึกถึงการอุบัติในอรูปภพของตนนั้น
เสียใจว่า บัดนี้เราไม่ได้เพื่อจะฟังพระธรรมเทศนาของพระกุมารนั้นเสียแล้ว
เกิดโทมนัสเพราะความโศกมีกำลังครอบงำถึงกับน้ำตาตก คือ ไหล. ปาฐะว่า
ควยติ ก็มี. ก็ผิว่า อสิตฤษีนี้ พึงน้อมจิตไปในรูปภพ ก็จะไม่เกิดเดือดร้อน
อะไรถึงกับร้องไห้อย่างนั้น . แต่เกิดเดือดร้อน เพราะความไม่ฉลาดไม่รู้จักวิธี.
หากมีคำถามว่า ก็เมื่อเป็นเช่นนั้น อสิตฤษีนั้นไม่ควรเกิดโทมนัส เพราะข่ม

เสียได้ด้วยการได้สมาบัติมิใช่หรือ. ตอบว่า เพราะยังข่มไม่ได้นั้นเอง. จริงอยู่
กิเลสทั้งหลายที่ตัดขาดด้วยมรรคภาวนาจะเกิดขึ้นไม่ได้ แต่กิเลสทั้งหลายเกิดขึ้น
ได้เพราะปัจจัยมีกำลังแห่งการได้สมาบัติ. หากมีคำถามว่า เมื่อกิเลสเกิดขึ้น
เพราะฌานเสื่อมเขาจะเข้าถึงอรูปภพได้แต่ไหน. ตอบว่า บรรลุได้อีกด้วยความ
ลำบากเล็กน้อย. เพราะผู้ได้สมาบัติทั้งหลาย เมื่อกิเลสเกิดขึ้นจะไม่ถึงกันหมด
กำลังไปทีเดียว พอเมื่อกำลังกิเลสสงบเท่านั้น ย่อมบรรลุคุณวิเศษนั้นได้อีก
ด้วยความลำบากเล็กน้อยเท่านั้น. เป็นอันรู้ได้ยากว่า ผู้ได้สมาบัติเหล่านี้เป็น
ผู้เสื่อมจากคุณวิเศษดังนี้บ้าง อสิตฤษีก็เป็นเช่นนั้น. บทว่า โน จ กุมาเร
ภวิสฺสติ อนฺตราโย
ความว่า อันตรายจักไม่มีในพระกุมารนี้หรือหนอ.
พึงทราบวินิจฉัยในคาถาที่ 12. บทว่า น โอรกายํ คือพระกุมารนี้
เป็นผู้ไม่เลว คือ ไม่เป็นผู้เล็กน้อย. อสิตฤษีกล่าวถึงพุทธานุภาพที่ควรกล่าว
ในคาถาต่อไป.
พึงทราบวินิจฉัยในคาถาที่ 13. บทว่า สมฺโพธิยคฺคํ คือ
สัพพัญญุตญาณ. จริงอยู่ สัพพุตญาณนั้นชื่อสัมโพธิ เพราะตรัสรู้โดยชอบ
ด้วยความไม่วิปริต. สัพพัญญุตญาณ ท่านกล่าวว่าเลิศ เพราะสูงสุดกว่าญาณ
ทั้งปวง โดยไม่มีเครื่องกีดกั้นในที่ไหน ๆ. บทว่า ผุสิสฺสติ เเปลว่า บรรลุ.
บทว่า ปรมวิสุทฺธทสฺสี ได้แก่ เห็นพระนิพพาน. จริงอยู่ พระนิพพาน
นั้นชื่อว่าบริสุทธิ์อย่างยิ่ง เพราะบริสุทธิ์โดยส่วนเดียว. บทว่า วิตฺถาริกสฺส
ตัดบทเป็น วิตฺถาริกํ อสฺส พรหมจรรย์จักแพร่หลาย. บทว่า พฺรหฺมจริยํ
คือ คำสั่งสอน.

พึงทราบวินิจฉัยในคาถาที่ 14. บทว่า อถนฺตรา คือในระหว่าง.
ท่านอธิบายว่า ในระหว่างจากที่พระกุมารนั้นทรงบรรลุสัมโพธิญาณนั่นเอง
บทว่า น สุสฺสํ แปลว่า จักไม่ได้ฟัง. บทว่า อสมธุรสฺส คือมี
ความเพียรไม่มีผู้เสมอ. บทว่า อุฏฺโฏ คือ เป็นนผู้เร่าร้อน. บทว่า พฺยสนํ
คโต
คือ ถึงความพินาศอย่างเป็นสุข. บทว่า อฆาวี คือ ถึงความทุกข์
อสิตฤษีกล่าวหมายถึงความเกิดโทมนัสทั้งหมด เพราะเขาเดือดร้อนเพราะ
เสียใจ. ความเสียใจนั้น ชื่อว่า พยสนะ เพราะเป็นความพินาศอย่างเป็นสุข
ของอสิตฤษีนั้น ท่านจึงกล่าวว่า สุขวินาสนโต. ด้วยบทนั้นอสิตฤษีนั้น
จึงชื่อ อฆาว มีความทุกข์ เพราะมีทุกข์ทางใจ.
พึงทราบวินิจฉัยในคาถาที่ 15. บทว่า วิปุลํ ชเนตฺวาน คือ
ยังปีติอันไพบูลย์ให้เกิด. บทว่า นิคฺคมา คือ อสิตฤษีออกไปแล้ว.
อสิตฤษีออกไปอย่างนี้เพื่ออนุเคราะห์หลานของตน. ท่านกล่าวว่า
อนุเคราะห์บุตรของน้องสาวของตน. บทว่า สมาทเปสิ ความว่า อสิตฤษี
รู้ด้วยกำลังปัญญาของตนว่าตนมีอายุน้อย และรู้ว่านาลกมาณพบุตรของน้องสาว
สะสมบุญไว้ คิดว่านาลกมาณพพอมีปัญญาแล้วจะพึงประมาท จึงไปเรือนของ
น้องสาวเพื่ออนุเคราะห์นาลกมาณพนั้น ถามว่า นาลกะไปไหน. ตอบว่า ไป
เล่นอยู่ข้างนอกเจ้าค่ะ สั่งให้ไปนำมาแล้ว ให้บวชเป็นดาบสในขณะนั้นเอง
ให้สมาทาน ให้โอวาท พร่ำสอน. อสิตฤษีให้สมาทาน ให้โอวาท พร่ำสอน
อย่างไร.
อสิตฤษีกล่าวคาถาที่ 16 ว่า พุทฺโธติ โฆสํ ฯเปฯ พฺรหฺมจริยํ
ความว่า ในกาลข้างหน้าเจ้าได้ยินเสียงระบือไปว่า พุทฺโธ ดังนี้ พระผู้มี-

พระภาคเจ้าได้ทรงบรรลุพระสัมโพธิญาณแล้ว ย่อมทรงเปิดเผยทางปรมัตถ-
ธรรม เจ้าจงไปทูลสอบถามด้วยตนเองในสำนักของพระองค์ แล้วประพฤติ
พรหมจรรย์ ในสำนักของพระผู้มีพระภาคเจ้านั้นเถิด.
ในบทเหล่านั้นบทว่า ยทิ ปรโต ได้แก่ ในกาลข้างหน้า บทว่า
ธมฺมมคฺคํ ได้แก่ ธรรมอันเป็นทางแห่งนิพพานคือปรมัตถธรรมหรือทางคือ
นิพพานกับข้อปฏิบัติ. บทว่า ตสฺมึ คือในสำนักนั้น. บทว่า พฺรหฺมจริยํ
คือ สมณธรรม.
พึงทราบวินิจฉัยในคาถาที่ 17. บทว่า ตาทินา ตั้งมั่นอยู่เช่นนั้น.
อธิบายว่า ในสมัยนั้นเมื่อมีการข่มอาสวะคือกิเลส ด้วยการข่มกิเลส และเนื้อ
มีการได้สมาธิด้วยจิตตั้งมั่น. บทว่า อนาคเต ปรมวิสุทฺธทสฺสินา อสิตฤษี
มีปรกติเห็นนิพพานอันบริสุทธิ์อย่างยิ่งในอนาคต ความว่า อสิตฤษีนั้น ท่าน
กล่าวว่าชื่อว่าเป็นผู้มีปรกติเห็นนิพพานอันบริสุทธิ์อย่างยิ่งในอนาคตโดยปริยาย
นี้ เพราะค่าที่ตนเห็นอย่างนี้ว่า นาลกะนี้จักเห็นนิพพานอันบริสุทธิ์อย่างยิ่งใน
สำนักของพระผู้มีพระภาคเจ้าในอนาคตกาลดังนี้ ด้วยเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวว่า
อนาคเต ปรมวิสุทฺธทสฺสินา ดังได้กล่าวไว้แล้วในตอนต้น. บทว่า
อุปจิตปุญฺญสญฺจโย นาลกดาบสเป็นผู้สะสมบุญไว้ คือ สะสมบุญไว้ตั้งแต่
ศาสนาพระปทุมุตรสัมมาสัมพุทธเจ้า. บทว่า ปติกฺขํ คือรอคอยอยู่. บทว่า
ปริวสิ คือบวชอยู่ด้วยเพศดาบส. บทว่า รกขิตินฺทฺริโย คือรักษาโสตินทรีย์
(อินทรีย์คือหู). ได้ยินว่า นาลกดาบสนั้นคิดว่า เราจะดำน้ำให้หูแตกเสีย แต่
นั้น เราก็จะไม่ต้องฟังธรรมภายนอก จึงดำลงไปในน้ำตั้งแต่นั้นมา.

พึงทราบวินิจฉัยในคาถาที่ 18. บทว่า สุตฺวาน โฆสํ ความว่า
นาลกะนั้นรอคอยอยู่อย่างนั้นได้ฟังเสียงประกาศที่พระชินสีห์ทรงประกาศธรรม-
จักกรอันประเสริฐโดยนัยมีอาทิว่า เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงบรรลุสัมโพธิญาณ
โดยลำดับแล้วทรงประกาศพระธรรมจักรในกรุงพาราณสี พระผู้มีพระภาคเจ้า
ทรงประกาศธรรมจักรนั้นแล้ว พระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้นเป็นพระสัมมา-
สัมพุทธเจ้าทรงอุบัติแล้วหนอดังนี้ อันพวกเทวดาผู้หวังประโยชน์แก่ตนพากัน
มาบอกแล้ว. บทว่า คนฺตฺวาน ทิสฺวา อิสินิสภํ ความว่า เมื่อทวยเทพ
ทำการโกลาหลด้วยโมเนยยปฏิปทาอยู่ตลอด 7 วัน พระผู้มีพระภาคเจ้าทรง
ดำริว่า ในวันที่ 7 นาลกะจักไปยังที่อยู่ชองฤษีแล้วก็จักมา เราจักแสดงธรรม
แก่เขาดังนี้ นาลกะเห็นพระผู้มีพระภาคเจ้าประทับนั่งเหนือวรพุทธอาสน์ ด้วย
ความมุ่งหมายนี้ จึงได้เข้าไปเฝ้าพระชินสีห์ผู้องอาจกว่าฤษี. บทว่า ปสนฺโน
คือมีจิตเลื่อมใสพร้อมกับการเห็นเท่านั้น. บทว่า โมเนยฺยเสฏฺฐํ ปฏิปทา
อันประเสริฐของมุนี คือ ญาณชั้นสูงสุด อันได้แก่มรรคญาณ. บทว่า สมาคเต
อสิตวฺหยสฺส สาสเน
คือในเมื่อดำสั่งสอนของอสิตฤษีมาถึงเข้า. ก็เมื่อใด
นาลกดาบสประพฤติมรรคธรรม เมื่อนั้นก็จะถูกอสิตฤษีไปถามแล้วสอนว่า
ท่านจงประพฤติพรหมจรรย์ในพระผู้มีพระภาคเจ้านั้นเถิด. นี้แหละคือกาลนั้น.
ด้วยเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวว่า สมาคเต อสิตวฺหยสฺส สาสเน ดังนี้.
บทที่เหลือในคาถานี้ ปรากฏชัดแล้ว. พึงทราบการพรรณนาวัตถุคาถานี้ไว้
เพียงเท่านี้.
พึงทราบวินิจฉัยในสองคาถาอันเป็นคำถาม. บท อญฺญาตเมตํ
คือข้าพระองค์ได้รู้คำนี้แล้ว. บทว่า ยถาตถํ คือไม่วิปริต. อธิบายว่ากระไร

อธิบายว่า นาลกดาบสกล่าวว่า อสิตฤษีรู้ว่าพระกุมารนี้จักบรรลุทางแห่งสัม-
โพธิญาณได้บอกกะข้าพระองค์ว่าท่านจงฟังประกาศว่า พุทฺโธ ในกาลข้างหน้า
ผู้บรรลุสัมโพธิญาณย่อมประพฤติมรรคธรรมดังนี้ วันนี้ข้าพระองค์ได้รู้ตามคำ
ของอสิตฤษีว่า คำนั้นเป็นคำจริง เพราะเห็นพระผู้มีพระภาคเจ้าเป็นพยาน.
บทว่า ตํ ตํ คือเพราะฉะนั้น. บทว่า สพฺพธมฺมานํ ปารคุํ พระองค์
ผู้ถึงฝั่งแห่งธรรมทั้งปวง ความว่า ผู้ถึงฝั่งแห่งธรรมโดยอาการ 6 ตามนัยที่
ได้กล่าวแล้วในเหมวตสูตร. บทว่า อนาคาริยุเปตสฺส ตัดบทเป็น อนาคาริยํ
อุเปตสฺส
คือออกบวช. อธิบายว่า บรรพชิต. บทว่า ภิกฺขาจริยํ ชิคึสโต
แสวงหาการเที่ยวไปเพื่อภิกษา คือ แสวงหาภิกขาจารอันไม่เศร้าหมองที่พระ-
อริยเจ้าประพฤติสืบต่อกันมาแล้ว. บทว่า โมเนยฺยํ ได้แก่ เป็นของพระมุนี.
บทว่า อุตฺตมํ ปทํ คือปฏิปทาอันสูงสุด. บทที่เหลือในคาถานี้ ปรากฏชัด
อยู่แล้ว.
เมื่อนาลกดาบสได้กราบทูลถามอย่างนี้แล้ว พระผู้มีพระภาคเจ้าจึง
ทรงพยากรณ์โมเนยยปฏิปทาแก่นาลกดาบสนั้นโดยนัยมีอาทิว่า โมเนยฺยํ เต
อุปญฺญิสฺสํ
เราจักบัญญัติปฏิปทาของมุนีแก่เธอ ดังนี้.
ในบทเหล่านั้น บทว่า อุปญฺญิสฺสํ คือเราพึงบัญญัติ อธิบายว่า
พึงแนะนำ พึงให้รู้ทั่วถึง. บทว่า ทุกฺกรํ ทุรภิสมฺภวํ ท่านอธิบายว่า
ทำได้ยากทำให้เกิดความยินดีได้ยาก.ในบทนี้มีอธิบายดังต่อไปนี้. เราพึงบัญญัติ
ปฏิปทาของมุนีแก่ท่าน หากความสุขจะพึงมีเพื่อการทำหรือเพื่อความเกิดขึ้น
ซึ่งปฏิปทาของมุนีนั้นอันเป็นการทำได้ยาก ให้เกิดความยินดีได้ยาก ควรปฏิบัติ

ไม่ให้จิตเศร้าหมองเกิดขึ้นได้ตั้งแต่เวลาเป็นปุถุชน. เป็นความจริงดังนั้น สาวก
รูปเดียวเท่านั้นของพระพุทธเจ้าพระองค์เดียวย่อมทำได้และทำให้เกิดได้.
พระผู้มีพระภาคเจ้าเมื่อทรงแสดงถึงความที่ปฏิปทาของมุนีทำได้ยาก
และทำให้ยินดีได้ยาก มีพระประสงค์จะให้นาลกดาบสเกิดอุตสาหะ จึงตรัส
โมเนยยปฏิปทาแก่นาลกดาบสว่า หนฺท เต นํ ปวกฺขามิ สนฺถมฺภสฺสุ ทฬฺ-
โห ภว
เอาเถิด เราจะบอกปฏิปทาของมุนีนั้นแก่เธอ เธอจงช่วยเหลือตน
จงเป็นผู้มั่นคงเถิด.
ในบทเหล่านั้น บทว่า หนฺท เป็นนิบาตลงในอรรถบอกความเตือน.
บทว่า เต นํ ปวกฺขามิ ได้แก่ เราจะบอกปฏิปทาของมุนีนั้นแก่เธอ.
บทว่า สนฺถมฺภสฺสุ คือ เธอจงช่วยเหลือตนด้วยการทำให้เกิดความเพียร
สามารถทำสิ่งที่บุคคลทำได้ยาก. บทว่า ทฬฺโห ภว คือเธอจงเป็นผู้มั่นคง
เพราะมีความเพียรไม่ย่อหย่อน สามารถอดกลั้นต่อการทำให้เกิดความยินดี
ได้ยาก. ท่านอธิบายไว้ว่า เพราะเธอได้สะสมบุญไว้มาก ฉะนั้น เราจะเป็น
ผู้เตือน จะบอกปฏิปทาของมุนีนั้นที่บุคคลทำได้ยาก แม้ทำให้เกิดความยินดี
ได้ยากแก่เธอ เธอจงเป็นผู้ช่วยเหลือตน จงเป็นผู้มั่นคงเถิด.
พระผู้มีพระภาคเจ้ามีพระประสงค์จะตรัสปฏิปทาของมุนีอันเป็นเครื่อง
ขัดเกลาอย่างยิ่งอย่างนี้ จึงทรงชักชวนนาลกดาบสในการช่วยตน และในความ
เป็นผู้มั่นคง เมื่อจะทรงแสดงการละกิเลสอันเข้าไปผูกพันกับชาวบ้าน จึงตรัส
คาถากึ่งคาถาว่า สมานภาคํ ให้เสมอกัน. ในบทเหล่านั้นบทว่า สมานภาคํ
และบทว่า สมภาคํ เป็นอย่างเดียวกัน ไม่ต่างกัน. บทว่า อกฺกุฏฺฐวนฺทิตํ
ได้แก่ การด่าและการไหว้.

บัดนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าเมื่อจะทรงแสดงอุบายอันจะทำการด่าและ
การไหว้นั้นให้เสมอกันจึงตรัสคาถากึ่งหนึ่งว่า มโนปโทสํ ความประทุษร้าย
แห่งใจ ดังนี้เป็นต้น.
บทว่า มโนปโทสํ นั้นมีอธิบายว่า เขาด่าแล้วพึงรักษาความประทุษ
ร้ายแห่งใจ เขาไหว้แล้วพึงประพฤติเป็นผู้สงบ ไม่มีความเย่อหยิ่ง ในพึงมีความ
ฟุ้งซ่านว่า พระราชาเมื่อเราไหว้ ยังไหว้เรา ดังนี้.
บัดนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าเมื่อจะทรงแสดงการละกิเลสอันผูกพันในป่า
จึงตรัสคาถาว่า อุจฺจาวจา อารมณ์ที่สูงต่ำ ดังนี้.
บทว่า อุจฺจาวจา นั้นมีอธิบายว่า อารมณ์ที่สูงต่ำหลายอย่างย่อม
ซ่านไป คือ แล่นไป ด้วยเป็นอิฏฐารมณ์และอนิฏฐารมณ์ แม้ในป่าย่อมมาสู่
คลองแห่งจักษุเป็นต้น ก็อารมณ์เหล่านั้นแลที่สูงต่ำเพราะมีหลายอย่าง เปรียบ
ด้วยเปลวไฟ เพราะทำให้เกิดอันตรายเหมือนเปลวไฟในป่าที่ถูกไฟไหม้ มีควัน
บ้าง ไม่มีควันบ้าง เขียวบ้าง เหลืองบ้าง แดงบ้าง น้อยบ้าง มากบ้าง
ฉันใด อารมณ์ทั้งหลายทั้งสูงต่ำ เพราะมีหลายอย่าง ย่อมซ่านไปในป่าโดย
ประเภทมีราชสีห์ เสือโคร่ง มนุษย์ อมนุษย์ เสียงขันของนกต่าง ๆ ดอกไม้
ผลไม้ ใบไม้อ่อนเป็นต้น น่ากลัวบ้าง ไม่น่ากลัวบ้าง น่ายินดีบ้าง น่าอยาก
ได้บ้าง น่าเคืองบ้าง น่าหลงบ้าง. ด้วยเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า
อุจฺจาวจา นิจฺฉรนฺติ ทาเย อคฺคิสิขูปมา อารมณ์ที่สูงต่ำอุปมาด้วยเปลว
ไฟในป่า ดังนี้. บรรดาอารมณ์ทั้งหลายทั้งสูงต่ำซ่านไปอยู่อย่างนี้ อารมณ์อย่าง
ใดอย่างหนึ่ง ที่เที่ยวไปในสวนและป่า หรือนารีทั้งหลายมีหญิงแบกฟืนเป็นต้น

เที่ยวไปในป่าตามปรกติ เห็นมุนีอยู่ในที่ลับแล้วประเล้าประโลมมุนีด้วยกระซิก-
กระซี้ พูดจา ร้องไห้ แก้ผ้าเป็นต้น. บทว่า ตา สุ ตํ มา ปโลภยุํ
ความว่า นารีเหล่านั้นอย่าพึงประเล้าประโลมท่าน อธิบายว่า ท่านจงทำโดย
อาการที่นารีเหล่านั้นประเล้าประโลมไม่ได้.
พระผู้มีพระภาคเจ้าครั้นทรงแสดงวิธีปฏิบัติในป่าและในบ้านแก่นาลก-
ดาบสอย่างนี้แล้ว บัดนี้ เมื่อจะทรงแสดงการสำรวมในศีลจึงตรัสสองคาถาว่า
วิรโต เมถุนา ธมฺมา งดเว้นจากเมถุนธรรม ดังนี้.
ในบทเหล่านั้น บทว่า หิตฺวา กาเม วราวเร ความว่า มุนีละกามคุณ
4 ทั้งดีทั้งไม่ดี แม้ที่เหลือจากเมถุนธรรม. ก็ด้วยการละเมถุนธรรมนั้น การ
งดเว้น จากเมถุนเป็นอันสมบูรณ์ด้วยดีแล้ว. ด้วยเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้า
จึงตรัสว่า หิตฺวา กาเม วราวเร เว้นกามทั้งดีทั้งไม่ดี ดังนี้. ในบทนี้มี
อธิบายดังนี้. บททั้งหลายมีอาทิว่า อวิรุทฺโธ ไม่ยินดียินร้ายดังนี้ พระผู้มี-
พระภาคเจ้าตรัสไว้เพื่อทรงแสดงถึงการงดเว้น จากการฆ่าสัตว์ ดังที่กล่าวไว้ใน
คาถานี้ว่า น เหยฺย น ฆาตเย ไม่พึงฆ่าเองไม่พึงให้ผู้อื่นฆ่าดังนี้. ในคาถา
นั้นมีการพรรณนาโดยสังเขปดังต่อไปนี้ ไม่ยินร้ายในสัตว์ทั้งหลายที่เป็นฝ่ายอื่น
ไม่ยินดีในฝ่ายของตน สัตว์ทั้งปวงก็มีตัณหา กำจัดความยินร้ายในสัตว์เหล่านั้น
เสีย เพราะเปรียบกับตนว่า เราเป็นฉันใด คือเพราะเราไม่มีความอยาก เพราะ
เราปรารถนาให้สัตว์ที่หวาดสะดุ้งและมั่นคงมีชีวิต เพราะเราไม่อยากตาย เพราะ
เราใคร่สุข เพราะเราเกลียดทุกข์ สัตว์ทั้งหลายเหล่านี้ก็ฉันนั้น และกำจัด
ความยินดีในตน เพราะเปรียบตนกับคนอื่นว่า สัตว์เหล่านี้ฉันใด เราก็ฉันนั้น

โดยทำนองนั้นนั่นแล ชื่อว่าเป็นผู้ละความยินดียินร้ายได้ทั้งสองอย่าง กระทำ
ตนให้เป็นอุปมา เพราะเกลียดความตาย ไม่พึงเบียดเบียนบรรดาสัตว์มีชีวิต
ทั้งหลาย สัตว์เหล่าใดเหล่าหนึ่งที่เป็นผู้หวาดสะดุ้งก็ดี ที่เป็นผู้มั่นคงก็ดี ไม่
พึงฆ่าเอง ด้วยสาหัตถิกประโยคเป็นต้น (ลงมือฆ่าเอง) ไม่พึงให้ผู้อื่นฆ่า
ด้วยอาณัตติกประโยคเป็นต้น (ใช้ให้ผู้อื่นฆ่า).
พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสศีล คือความสำรวมในปาติโมกข์โดยสังเขป
ด้วยหัวข้อคือการเว้นจากเมถุนและการเว้นจากฆ่าสัตว์แก่นาลกดาบสและทรง
แสดงความสำรวมอินทรีย์ด้วยบทมีอาทิว่า หิตฺวา กาเม ละกามทั้งหลาย ดังนี้
บัดนี้ เมื่อจะทรงแสดงความบริสุทธิ์แห่งอาชีวะจึงตรัสคาถาว่า หิตฺวา อิจฺฉญฺจ
ฯเปฯ ตเรยฺย นรกํ อิมํ
ความว่า มุนีละความปรารถนาและความโลภใน
ปัจจัยที่ปุถุชนข้องอยู่แล้ว เป็นผู้มีจักษุ พึงปฏิบัติปฏิปทาของมุนีนี้ พึงข้าม
ความทะเยอทะยานในปัจจัย ซึ่งเป็นเหตุแห่งมิจฉาชีพที่หมายรู้กันว่านรกนี้เสีย.
บทนั้นมีอธิบายดังนี้ ตัณหาท่านกล่าวว่า อิจฉา เพราะปรารถนา
เกินวิสัยที่จะได้อย่างนี้ คือ ได้หนึ่งแล้วปรารถนาสอง ได้สองแล้วปรารถนา
สาม ได้สามแล้วปรารถนาสี่ ได้แสนแล้วยังปรารถนายิ่งไปกว่านั้น, ท่านกล่าวว่า
โลภะ เพราะโลภในวิสัยที่จะได้. ปุถุชนละความปารถนาและความโลภใน
ปัจจัยมีจีวรเป็นต้นที่ปุถุชนข้องอยู่แล้ว คือละแม้ทั้งสองอย่างนั้นในปัจจัยที่ปุถุ-
ชนข้องอยู่แล้ว ติดอยู่แล้ว ผูกพันอยู่แล้ว ด้วยความปรารถนาและความโลภ
ไม่ยินดีอาชีวปาริสุทธิเพื่อปัจจัย เป็นผู้มีจักษุด้วยจักษุคือญาณ พึงปฏิบัติ
โมเนยยปฏิปทานี้. ท่านอธิบายว่า ก็ครั้นปฏิบัติได้อย่างนี้แล้ว พึงข้ามนรก

นี้เสีย คือ พึงข้ามความทะเยอทะยานในปัจจัยอันเป็นเหตุแห่งมิจฉาชีพที่หมาย
รู้กันว่านรก เพราะเต็มได้ยากนี้เสีย หรือพึงข้ามด้วยปฏิปทานี้.
พระผู้มีพระภาคเจ้าครั้นทรงแสดงความบริสุทธิ์แห่งอาชีวะด้วยหัวข้อ
คือการละความทะเยอทะยานในปัจจัยอย่างนี้แล้ว บัดนี้ เมื่อจะทรงแสดงศีล
คือการบริโภคปัจจัยด้วยหัวข้อโภชเนมัตตัญญุตา คือ ความรู้จักประมาณในการ
บริโภค และปฏิปทาตราบเท่าถึงการบรรลุพระอรหัตโดยทำนองนั้นก่อนจึงตรัส
คาถาว่า
อโนทโร มิตาหาโร อปฺปิจฺฉสฺส อโลลุโป
สทา อิจฺฉาย นิจฺฉาโต อนิจฺโฉ โหติ นิพฺพุโต.
พึงเป็นผู้มีท้องพร่อง มีอาหารพอ-
ประมาณ มีความปรารถนาน้อย ไม่มีความ
โลภ เป็นผู้หายหิว ไม่มีความปรารถนา
ด้วยความอยาก ดับความเร่าร้อนได้แล้ว
ทุกเมื่อ.

บทนั้นมีความดังนี้ ท่านอธิบายไว้ว่า ภิกษุเมื่อได้ปัจจัยมีจีวรเป็นต้น
ตามมีตามได้โดยธรรมโดยเสมอแล้ว เมื่อจะฉันอาหารพึงอย่าเห็นแก่ท้องโดย
นัยที่ท่านกล่าวไว้ว่า
จตฺตาโร ปญฺจ อโลเป อภุตฺวา อุทกํ ปิเว
อลํ ผาสุวิหาราย ปหิตตฺตสฺส ภิกฺขุโน
ภิกษุผู้มีความเพียร ไม่บริโภคอาหาร
อีก 4-5 คำ พึงดื่มน้ำเพื่ออยู่ผาสุก.

ไม่ควรมีท้องพองเหมือนเครื่องสูบเต็มด้วยลม พึงป้องกันถีนมิทธะ เพราะเมา
อาหารเป็นเหตุ. ภิกษุพึงเป็นผู้จำกัดอาหารโดยคุณและโทษด้วยการพิจารณา
มีอาทิว่า ภิกษุพึงเป็นผู้ไม่เห็นแก่ท้องมีอาหารพอประมาณ พึงรู้จักประมาณ
ในการบริโภค ไม่บริโภคเพื่อเล่นดังนี้. แม้เป็นผู้มีอาหารพอประมาณอย่างนี้
ก็พึงเป็นผู้มีความปรารถนาน้อย ด้วยมีความปรารถนาน้อย 4 อย่าง คือ ปัจจัย
ธุดงค์ ปริยัติ และอธิคม.
จริงอยู่ ภิกษุผู้ปฏิบัติโมเนยยปฏิปทาโดยส่วนเดียว พึงเป็นเป็นผู้มีความ
ปรารถนาน้อยอย่างนี้. ความสันโดษด้วยสันโดษ 3 อย่าง ในปัจจัยหนึ่งๆ นั้น
ชื่อว่า ความเป็นผู้ปรารถนาน้อยในปัจจัย.
ความที่ภิกษุผู้ทรงธุดงค์อย่างเดียวไม่ปรารถนาว่าชนเหล่าอื่นจงรู้จักเรา
ว่าเป็นผู้มีสติ มีธุดงค์ ดังนี้ ชื่อว่า ความเป็นผู้มีความปรารถนาน้อยใน
ธุดงค์.
ความที่ภิกษุผู้เป็นพหูสูตอย่างเดียวไม่ปรารถนาว่าชนเหล่าอื่น จงรู้จัก
เราว่าเป็นผู้มีสติเป็นพหูสูต ชื่อว่า ความเป็นผู้มีความปรารถนาน้อยในปริยัติ
ดุจความปรารถนาน้อยของพระมหามัชฌันติกเถระ ฉะนั้น.
ความที่ภิกษุผู้สมบูรณ์ด้วยอธิคมอย่างเดียวไม่ปรารถนาว่า ชนเหล่าอื่น
จงรู้จักเราว่าท่านผู้นี้มีสติบรรลุกุศลธรรม ชื่อว่า เป็นผู้มีความปรารถนาน้อย
ในอธิคม. ก็ความเป็นผู้ปรารถนาน้อยในอธิคมนั้น พึงทราบว่าความปรารถนา
นี้ ต่ำกว่าการบรรลุพระอรหัต. เพราะนี้เป็นปฏิปทาเพื่อบรรลุพระอรหัต.
อนึ่ง แม้ภิกษุผู้มีความปรารถนาน้อยอย่างนี้ ก็ละความทะเยอทะยาน
และความโลภะเสียได้ด้วยอรหัตมรรค พึงเป็นผู้ไม่มีความโลภ. จริงอยู่ ผู้ไม่มี

ความโลภอย่างนี้ เป็นผู้ไม่มีความปรารถนา เพราะสละความปรารถนาเป็นต้น
เป็นผู้ดับความเร่าร้อนได้แล้วทุกเมื่อ สัตว์ทั้งหลายเป็นผู้หิวด้วยความปรารถนา
อันใด ไม่อิ่ม ดุจเดือดร้อนเพราะหิวกระหาย ภิกษุเป็นผู้ไม่ปรารถนาด้วย
ความปรารถนานั้น และชื่อว่าเป็นผู้หมดหิว เพราะเป็นผู้ไม่ปรารถนา ไม่
เดือดร้อน ถึงความอิ่มเต็มที่ ชื่อว่าเป็นผู้ดับความเร่าร้อนได้คือสงบจากความ
เร่าร้อนคือกิเลสทั้งปวง เพราะเป็นผู้ไม่ปรารถนา เพราะเหตุนั้น พึงทราบ
การประกอบนอกลำดับในบทนี้ ด้วยประการฉะนี้.
พระผู้มีพระภาคเจ้าครั้นตรัสปฏิปทาตราบเท่าถึงการบรรลุพระอรหัต
อย่างนี้แล้ว บัดนี้ เมื่อจะตรัสถึงการสมาทานธุดงค์และวัตรเกี่ยวกับเสนาสนะ
อันจบลงด้วยการบรรลุพระอรหัตของภิกษุผู้ปฏิบัติปฏิปทานั้นจึงตรัสสองคาถา
ว่า ส ปิณฺฑจารํ ดังนี้.
ในบทเหล่านั้นบทว่า ส ปิณฺฑจารํ จริตฺวา ความว่า ภิกษุนั้น
เที่ยวไปเพื่อภิกษาหรือกระทำภัตกิจ. บทว่า วนนฺตมภิหารเย พึงไปยัง
ชายป่า คือ เป็นผู้ไม่ชักช้าอย่างคฤหัสถ์ที่ชักช้า พึงไปป่าทีเดียว. บทว่า
อุปฏฺฐิโต รุกฺขมูลสฺมึ คือ ไปที่โคนต้นไม้. บทว่า อาสนุปคฺโต คือ
เข้าไปนั่ง. บทว่า มุนิ คือผู้ปฏิบัติโมเนยยปฏิปทา. อนึ่ง ในบทนี้ท่านกล่าว
ปิณฑปาติกังคธุดงค์ด้วยบทนี้ว่า ปิณฺฑจารํ จริตฺวา เที่ยวไปบิณฑบาต.
ก็เพราะภิกษุเป็นผู้ถือการบิณฑบาตอย่างเคร่งครัด เที่ยวไปตามลำดับตรอก
มีอาหารมื้อเดียว ฉันอาหารในบาตร ปฏิเสธหลังอาหาร สมาทานเตจีวริกังค-
ธุดงค์ (มีจีวร 3 ผืน) และปังสุกูลิกังคธุดงค์ (ถือผ้าบังสุกุลเป็นวัตร)

เท่านั้น ฉะนั้น จึงเป็นอันครบธุดงค์ 6 เหล่านี้. ท่านกล่าวอารัญญิกังคธุดงค์
(คือการอยู่ป่าเป็นวัตร) ด้วยบทนี้ว่า วนนฺตมภิหารเย พึงไปยังชายป่า
ดังนี้. ท่านกล่าวรุกขมูลิกังคธุดงค์ (การถืออยู่โคนไม้เป็นวัตร) ด้วยบทนี้ว่า
อุปฏฺฐิโต รุกฺขมูลสฺมึ เข้าไปอยู่โคนต้นไม้ ดังนี้. ท่านกล่าวเนสัชชิกังค-
ธุดงค์ (ถือการนั่งเป็นวัตร) ด้วยบทนี้ว่า อาสนุปคโต เข้าไปนั่ง ดังนี้.
เป็นอันท่านกล่าวถึง อัพโภกาสิกังคธุดงค์ (คือการอยู่ในที่แจ้งเป็นวัตร)
ยถาสันถติกังคธุดงค์ (ถือการอยู่ในเสนาสนะตามที่ท่านจัดให้เป็นวัตร) และโส-
สานิกังคธุดงค์ (ถือการอยู่ป่าช้าเป็นวัตร) เพราะอนุโลมตามธุดงค์เหล่านั้นตาม
ลำดับ. พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสธุดงค์ 13 ด้วยคาถานี้อย่างนี้แก่พระนาลกเถระ.
บทว่า ส ฌานปฺปสุโต ธีโร ภิกษุนั้นพึงเป็นผู้ขวนขวายในฌาน
เป็นนักปราชญ์ ความว่า ภิกษุนั้นเป็นผู้ขวนขวายคือประกอบเนือง ๆ ในฌาน
ทั้งหลายด้วยอาวัชชนะ สมาปัชชนะ อธิฏฐานะ วุฏฐานะ และปัจจเวกขณะ
เป็นนักปราชญ์คือสมบูรณ์ด้วยปัญญา. บทว่า วนนฺเต รมิโต สิยา คือ
พึงยินดีในป่า. ท่านอธิบายว่า ไม่พึงยินดีในเสนาสนะใกล้บ้าน. บทว่า ฌาเยถ
รุกฺขมูลสฺมึ อตฺตานมภิโตสยํ
พึงทำจิตให้ยินดียิ่งเพ่งฌานอยู่ที่โคนต้นไม้
ความว่า ไม่พึงขวนขวายโลกิยฌานอย่างเดียวเท่านั้น ที่แท้พึงทำจิตให้ยินดียิ่ง
เพ่งแม้ด้วยโลกุตรฌานทีสัมปยุตด้วยโสดาปัตติมรรคเป็นต้นที่โคนต้นไม้นั้น
แล จริงอยู่จิตย่อมยินดีเหลือเกินในโลกุตรฌานเหล่านั้น เพราะถึงซึ่งความ
โล่งใจอย่างยิ่ง มิใช่ยินดีด้วยอย่างอื่น ด้วยเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัส
ว่า อตฺตานมภิโตสยํ พึงทำจิตให้ยินดียิ่งดังนี้.

พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสถึงความยินดีในเสนาสนะป่า และพระอรหัต
เพราะความเป็นผู้ขวนขวายในฌานด้วยพระคาถานี้ ด้วยประการฉะนี้. บัดนี้
เพราะพระนาลกเถระฟังพระธรรมเทศนานี้แล้วเข้าไปสู่ป่าอดอาหารได้เป็นผู้
ขวนขวายยิ่งในการบำเพ็ญปฏิปทา แม้อดอาหารก็ไม่สามารถบำเพ็ญสมณธรรม
ได้เมื่อพระนาลกเถระบำเพ็ญอยู่อย่างนั้น ชีวิตก็ลำบาก แต่เมื่อกิเลสยังไม่เกิด
ควรแสวงหาอาหาร นี้เป็นระเบียบในเรื่องนี้ ฉะนั้นพระผู้มีพระภาคเจ้า เพื่อ
ทรงแสดงว่า ควรเที่ยวบิณฑบาตในวันต่อ ๆ ไป กิเลสทั้งหลายก็จะไม่เกิดขึ้น
เมื่อจะตรัสภิกขาจารวัตรจบด้วยการบรรลุพระอรหัต จึงได้ตรัสคาถา 6 คาถามี
อาทิว่า ตโต รตฺยา วิวสเน เมื่อราตรีล่วงไปแล้ว ดังนี้.
ในบทเหล่านั้น บทว่า ตโต คือ ต่อจากรับบิณฑบาตแล้วเที่ยวไปยัง
ชายป่าดังที่กล่าวไว้ในบทนี้ว่า ส ปิณฺฑจารํ จริตฺวา วนนฺตมภิหารเย
ภิกษุนั้นเที่ยวไปบิณฑบาตแล้วพึงเข้าไปยังชายป่า. บทว่า รตฺยา วิวสเน
คือ เมื่อราตรีล่วงไป. ท่านอธิบายว่า ในวันที่สอง. บทว่า คามนฺตมภิหารเย
พึงเข้าไปสู่บ้าน ความว่า กระทำอภิสมาจาริกวัตรแล้วพึงเพิ่มพูนวิเวกจนถึง
เวลาภิกขาจาร แล้วมนสิการกรรมฐานโดยนัยที่กล่าวแล้วในวัตรทั้งไปทั้งกลับ
พึงไปสู่บ้าน. บทว่า อวฺหานํ นาภินนฺเทยฺย ไม่ยินดีโภชนะที่ยังไม่ได้
ความว่า ภิกษุผู้บำเพ็ญปฏิปทาไม่พึงยินดีการนิมนต์ว่า นิมนต์พระคุณเจ้าฉัน
ในเรือนของพวกกระผมเถิด ดังนี้ และโภชนะที่มีวิตกอย่างนี้ว่า จะให้หรือ
ไม่ให้ ให้ดีหรือไม่ให้ดีหนอดังนี้ ท่านอธิบายว่า ไม่ควรรับ. ก็หากว่าชน
ทั้งหลายรับบาตรไปโดยพลการตักถวายจนเต็ม ภิกษุฉันแล้วบำเพ็ญสมณธรรม

ธุดงค์ไม่เสีย. แต่ไม่ควรเข้าบ้านนั้นเพราะอาศัยเหตุนั้น. บทว่า อภิหารญฺจ
คามโต
โภชนะที่เขานำมาแต่บ้าน ความว่า หากชนทั้งหลายนำอาหารมาร้อย
ถาด ถวายแก่ภิกษุที่เข้าไปยังบ้าน ภิกษุไม่พึงยินดีอาหารนั้น ทั้งไม่พึงรับแม้
เมล็ดเดียว ควรเที่ยวบิณฑบาตไปตามลำดับเรือนโดยแท้.
บทว่า น มุนิ คามมาคมฺม กุเลสุ สหสา จเร มุนีอาศัยบ้าน
ไม่ควรเที่ยวไปในสกุลโดยรีบร้อน ความว่า มุนีปฏิบัติเพื่อความเป็นผู้ฉลาด
นั้นไปสู่บ้านไม่ควรเที่ยวไปในสกุลโดยรีบร้อน. ท่านอธิบายว่า ไม่ควรเกี่ยว-
ข้องกับคฤหัสถ์ ไม่คล้อยตามไปกับเขามีการร่วมเศร้าโศกด้วยเป็นต้น. บทว่า
ฆาเสสนํ ฉินฺนกโถ น วาจํ ปยุตฺตํ ภเณ ตัดถ้อยคำเสีย ไม่พึงกล่าว
วาจา เกี่ยวด้วยการแสวงหาของกิน ความว่า เป็นดุจตัดถ้อยคำเสีย ไม่พึง
กล่าววาจา เกี่ยวด้วยการแสวงหาของกินประกอบด้วยโอภาส (ชี้นำ) ปริกถา
(เลียบเคียง) นิมิต (เครื่องหมาย) วิญญัตติ (การขอร้อง) หากพึงหวัง
เป็นไข้ควรกล่าวเพื่อปัดเป่าความเจ็บไข้ ไม่เป็นไข้ ไม่ควรกล่าวอะไร ๆ เลย
เพื่อต้องการปัจจัยที่เหลือประกอบด้วยโอภาส ปริกถา และนิมิต เว้นวิญญัตติ
เพื่อต้องการเสนาสนะ.
คาถานี้ว่า อลตฺถํ ยทิทํ เป็นต้น มีใจความดังต่อไปนี้. มุนีเข้าไป
สู่บ้านเพื่อบิณฑบาต เมื่อได้อะไร ๆ แม้เล็กน้อยก็คิดว่า เราได้สิ่งใดสิ่งนี้ยัง
ประโยชน์ให้สำเร็จ เมื่อไม่ได้ก็คิดว่า เราไม่ได้ก็เป็นความดี ดังนี้แล้วเป็นผู้
คงที่ คือ ไม่มีความผิดปกติ เพราะการได้และไม่ได้ทั้งสองอย่างนั้นแล ย่อม
ก้าวล่วงทุกข์เสียได้ เหมือนบุรุษผู้แสวงหาผลไม้เข้าไปยังต้นไม้แล้ว แม้จะได้

แม้จะไม่ได้ผลไม้ก็ไม่ยินดี ไม่เสียใจ วางจิตเป็นกลางกลับไป ฉันใด มุนีเข้า
ไปสู่ตระกูล แม้จะได้ แม้จะไม่ได้ลาภ ก็วางจิตเป็นกลางกลับไปฉันนั้น.
คาถาว่า สปตฺตปาณี มุนีมีบาตรในมือเป็นต้นมีความง่ายทั้งนั้น.
พึงทราบการเกี่ยวเนื่องกันของคาถานี้ว่า อุจฺจาวจา ปฏิปทาสูงต่ำต่อไป. มุนี
เป็นผู้สมบูรณ์ด้วยภิกขาจารวัตรอย่างนี้แล้ว ไม่พึงยินดีเพียงเท่านั้น ควรยินดี
ปฏิปทาต่อไป. เพราะคำสั่งสอน มีสาระอยู่ที่การปฏิบัติ. ก็ปฏิปทานั้นทั้งสูง
และต่ำ พระสมณะทรงประกาศแล้ว มุนีทั้งหลายย่อมไม่ไปสู่นิพพานถึงสองครั้ง
นิพพานนี้ควรถูกต้องครั้งเดียวเท่านั้นหามิได้.
บทนั้นมีอธิบายดังต่อไปนี้ มรรคปฏิปทานี้ชื่อว่าสูงต่ำ เพราะมีประเภท
ดีและเลว อันพระพุทธสมณะทรงประกาศไว้แล้ว จริงอยู่ การปฎิบัติง่าย
รู้เร็ว เป็นปฏิปทาสูง. ปฏิบัติยาก รู้ช้าเป็นปฎิปทาต่ำ. อีกสองอย่างนั้นเป็น
ปฏิปทาสูงด้วยองค์หนึ่ง ต่ำด้วยองค์หนึ่ง. หรือว่าปฏิปทาต้นสูง อีกสามอย่าง
ก็ต่ำ. มุนีทั้งหลายย่อมไม่ไปสู่นิพพานถึงสองครั้งด้วยปฎิปทาสูงหรือต่ำนี้นั้น.
ปาฐะว่า ทุคุณํ สองครั้งก็มี. อธิบายว่า มุนีทั้งหลายย่อมไม่ไปสู่นิพพาน
ถึงสองครั้งด้วยมรรคเดียว. เพราะเหตุไร เพราะกิเลสเหล่าใดถูกละไปแล้ว ด้วย
มรรคใด ไม่พึงละกิเลสเหล่านั้นอีก ด้วยบทนั้น ท่านแสดงความไม่เสื่อมแห่ง
ธรรม. บทว่า น อิทํ เอกคุณมุตฺตํ นิพพานนี้ควรถูกต้องครั้งเดียวเท่านั้น
หามิได้ อธิบายว่า นิพพานนี้นั้นแม้ควรถูกต้องครั้งเดียวเท่านั้นก็หามิได้.
เพราะเหตุไร. เพราะไม่มีการละกิเลสทั้งหมดได้ด้วยมรรคเดียว. ด้วยบทนี้
ท่านแสดงความไม่บรรลุพระอรหัตด้วยมรรคเดียวเท่านั้น.

บัดนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าเมื่อจะทรงแสดงอานิสงส์แห่งปฏิปทาจึงตรัส
คาถาว่า ยสฺส จ วิสตา ภิกษุผู้ไม่มีตัณหา ดังนี้เป็นต้น.
บทนั้นมีอธิบายดังต่อไปนี้ ก็เมื่อภิกษุปฏิบัติแล้วอย่างนี้ ชื่อว่า ไม่
มีตัณหา เพราะละได้ด้วยปฏิปทานั้น ชื่อว่า สลัดออกไป เพราะสลัดตัณหา
วิจริต 108 ออกไปได้ ตัดกระแสกิเลสได้แล้ว ละกิจน้อยใหญ่ได้เด็ดขาดแล้ว
ไม่มีความเร่าร้อนแม้แต่น้อย อันเกิดจากราคะก็ดี เกิดจากโทสะก็ดี.
บัดนี้ เพราะจิตเกิดขึ้นแก่พระนาลกเถระ เพราะฟังคาถาเหล่านี้ว่า
ชื่อว่า ปฏิปทาของมุนีมีเพียงเท่านี้ ก็ทำได้โดยง่าย ไม่ยากนักสามารถบำเพ็ญ
ได้ด้วยความลำบากเล็กน้อย ดังนี้ ฉะนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าเมื่อจะทรงแสดง
ว่า ปฏิปทาของมุนีทำได้ยากแก่พระนาลกเถระ จึงตรัสคาถามีอาทิว่า โมเนยฺ-
ยนฺเต อุปญฺญิสฺสํ
เราจักบอกปฏิปทาของมุนีแก่ท่านอีก.
ในบทเหล่านั้น บทว่า อุปญฺญิสฺสํ ท่านอธิบายไว้ว่า เราจักบอก.
ชื่อว่า ขุรธารูปโม เพราะเป็นผู้มีคมมีดโกนเป็นเครื่องเปรียบ. บทว่า ภเว
แปลว่า พึงเป็น. มีอธิบายไว้อย่างไร ท่านอธิบายว่า ภิกษุผู้ปฏิบัติปฏิปทา
ของมุนี พึงประพฤติในปัจจัยทั้งหลายทำคมมีดโกนเป็นเครื่องเปรียบ เมื่อได้
ปัจจัยโดยชอบธรรมแล้วบริโภค พึงรักษาจิตให้พ้นจากกิเลส เหมือนการเลีย
คมมีโกนที่มีหยาดน้ำผึ้ง ย่อมรักษาลิ้นเกรงจะขาด ฉะนั้น. จริงอยู่ ปัจจัย
ทั้งหลายที่พึงได้โดยวิธีอันบริสุทธิ์ แต่ไม่อาจบริโภคได้โดยง่าย เพราะเหตุนั้น
พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสถึงการอาศัยปัจจัยเท่านั้นไว้โดยมาก. บทว่า ชิวฺหาย
ตาลุํ อาหจฺจ อุทเร สํยโต สิยา
กดเพดานไว้ด้วยลิ้นแล้วพึงเป็นผู้สำรวม

ที่ท้อง ความว่า กดเพดานไว้ด้วยลิ้นบรรเทาความอยากในรส พึงเป็นผู้สำรวม
ที่ต้อง เพราะไม่เสพปัจจัยที่เกิดขึ้นด้วยทางอันเศร้าหมอง.
บทว่า อลีนจิตฺโต จ สิยา พึงเป็นผู้มีจิตไม่ท้อแท้ ความว่า พึง
เป็นผู้มีจิตไม่เกียจคร้าน เพราะทำให้มั่นคงในการบำเพ็ญกุศลธรรมเป็นนิจ.
บทว่า น จาปิ พหุ จินฺตเย ไม่พึงคิดมาก คือ ไม่พึงคิดมากโดยวิตก
ถึงญาติ ชนบท และเทวดา. บทว่า นิรามคนฺโธ อสิโต พฺรหฺมจริย-
ปรายโน
เป็นผู้ไม่มีกลิ่นดิบ อันตัณหาและทิฏฐิไม่อาศัยแล้วมีพรหมจรรย์
เป็นที่ไปในเบื้องหน้า ความว่า เป็นผู้ไม่มีกิเลส อันตัณหาและทิฏฐิไม่อาศัย
แล้วในภพไหน ๆ พึงเป็นผู้มีไตรสิกขา และศาสนาพรหมจรรย์ทั้งสิ้นเป็นที่
ไปในเบื้องหน้าทีเดียว.
บทว่า เอกาสนสฺส เพื่อการนั่งผู้เดียว คือ นั่งในที่สงัด. ในบทนี้
ท่านกล่าวถึงอิริยาบถทั้งหมดด้วยหัวข้อว่า อาสนะ. พึงทราบว่าท่านอธิบาย
ไว้ว่า พึงศึกษาเพื่อความเป็นผู้เดียวในทุกอิริยาบถ. อนึ่ง บทว่า เอกาสนสฺส
นี้ เป็นจตุตถีวิภัตติ แปลว่า เพื่อการนั่งผู้เดียว. บทว่า สมณุปาสนสฺส จ
เพื่อประกอบภาวนาที่สมณะพึงอบรม ความว่า เพื่อประกอบภาวนามีอารมณ์
38 อันสมณะพึงอบรม หรือ เพื่อประเภทแห่งอารมณ์ 38 อันเป็นที่อบรม
ของสมณะทั้งหลาย. แม้บทนี้ก็เป็นจตุตถีวิภัตติเหมือนกัน. ท่านอธิบายว่า
เพื่ออบรม. อนึ่ง ในบทนี้พึงทราบว่า ท่านกล่าวถึงกายวิเวกด้วยการนั่งผู้เดียว
กล่าวถึงจิตตวิเวกด้วยการอบรมของสมณะ. บทว่า เอกนฺตํ โมนมกฺขาตํ
ความเป็นมุนีที่เราบอกแล้วโดยส่วนเดียว ความว่า เราบอกแล้วว่าเป็นมุนีโดย

ส่วนเดียวด้วยกายวิเวกและจิตตวิเวก ด้วยประการฉะนี้. ก็บทว่า เอโก เว
อภิรมิสฺสสิ
ท่านผู้เดียวเเลจักอภิรมย์นี้ เป็นบทมุ่งหมายถึงคาถาต่อไป. พึง
เชื่อมด้วยบทนี้ว่า อถ ภาสิหิ ทส ทิสา ทีนั้นท่านจงประกาศไปตลอดทั้งสิบ
ทิศ. บทว่า ภาสิหิ คือท่านจักกล่าว จักประกาศ. อธิบายว่า เมื่อท่านเจริญ
ปฏิปทานี้ จักเป็นผู้ปรากฏด้วยเกียรติในทุกทิศ. เนื้อความแห่งบท 4 บท มี
อาทิว่า สุตฺวา ธีรานํ นี้มีอธิบายดังต่อไปนี้ ท่านจงประกาศไปตลอดทั้งสิบทิศ
ด้วยการประกาศถึงเกียรติ ท่านได้ฟังเสียงประกาศเกียรติของนักปราชญ์ทั้งหลาย
ผู้เพ่งฌาน ผู้สละกามแล้ว แต่นั้นไม่ฟุ้งซ่านพึงกระทำหิริและศรัทธาให้ยิ่งในรูป
ละอาการประกาศนั้น ยังศรัทธาให้เกิดขึ้นว่านี้เป็นปฏิปทาเพื่อนำออกไปแล้ว
เพิ่มพูนการปฏิบัติให้ยิ่งขึ้นไปทีเดียว. บทว่า มามโก ความว่า เมื่อเป็น
เช่นนี้ก็เป็นสาวกของเราได้. บทว่า ตํ นทีภิ ท่านจะรู้แจ่มแจ้งคำที่เรากล่าว
นั้นด้วยการแสดงแม่น้ำทั้งหลาย ความว่า คำใดที่เรากล่าวว่า ท่านพึงกระทำ
หิริและศรัทธาให้ยิ่งขึ้นไป กล่าวว่าไม่ควรทำความฟุ้งซ่าน ท่านจงรู้คำที่เรา
กล่าวนั้นด้วยการแสดงตัวอย่างแม่น้ำนี้และท่านจงรู้ความตรงกันข้ามกับคำที่เรา
กล่าวนั้นทั้งในเหมืองและในหนอง. บทว่า โสพฺเภสุ คือ เหมือง. บทว่า
ปทเรสุ คือแม่น้ำ. เป็นอย่างไร. บทว่า สนนฺตา ยนฺติ กุสุพฺภา ตุณฺหี
ยนฺติ มโหทธิ
แม่น้ำห้วยย่อมไหลดังโดยรอบ แม่น้ำใหญ่ย่อมไหลนิ่ง ความ
ว่า เป็นความจริง แม่น้ำห้วยคือแม่น้ำเล็ก ๆ ทั้งหมดมีเหมืองและหนองเป็นต้น
ย่อมไหลดัง ส่วนแม่น้ำใหญ่มีแม่คงคาเป็นต้นย่อมไหลนิ่ง ผู้ไม่ถือพระพุทธเจ้า
ว่าเป็นของเรา ย่อมเป็นผู้ฟุ้งซ่านว่า เราบำเพ็ญปฏิปทาของมุนีอย่างนี้ ส่วน

ผู้เป็นพุทธมามกะคือถือพระพุทธเจ้าว่าเป็นของเรา ยังหิริและศรัทธาให้เกิด
เป็นผู้มีจิตไม่ฟุ้งซ่าน.
มีอะไรจะกล่าวยิ่งไปกว่านั้นอีก มีคาถาว่า ยทูนกํ ฯเปฯ ปณฺฑิโต
ความว่า สิ่งใดพร่องสิ่งนั้นย่อมดัง สิ่งใดเต็มสิ่งนั้นย่อมสงบ คนพาลเปรียบ
ด้วยหม้อน้ำที่มีน้ำครึ่งหนึ่ง บัณฑิตเปรียบด้วยห้วงน้ำที่มีน้ำเต็ม.
ในคาถานั้นพึงมีคำถามว่า หากว่าคนพาลเปรียบเหมือนหม้อนำมีน้ำ
ครึ่งหนึ่ง เพราะมีเสียงดัง บัณฑิตเปรียบเหมือนห้วงน้ำที่เต็มเพราะเป็นผู้สงบ
เมื่อเป็นเช่นนั้น เหตุไรพระพุทธสมณะ จึงเป็นผู้ขวนขวายในการแสดงธรรม
อย่างนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสคาถาว่า ยํ สมโณ โดยเชื่อมกับบทนี้ว่า
พหุํ ภาสติ.
บทนั้นมีอธิบายดังต่อไปนี้ พระพุทธสมณะกล่าวคำใดมากที่เข้าถึง
ประโยชน์ประกอบด้วยประโยชน์ คือ ไม่เปล่าประโยชน์ และมีประโยชน์
ไม่กล่าวด้วยความฟุ้งซ่าน อีกอย่างหนึ่ง รู้ถ้อยคำนั้นอยู่ ย่อมแสดงธรรม
เมื่อแสดงแม้ตลอดวันก็ไม่ยึดยาว เพราะคำทั้งหมดของพระพุทธสมณะนั้นเป็น
วจีกรรม ปรับปรุงด้วยญาณ อนึ่ง เมื่อพระพุทธสมณะนั้นแสดงธรรมอยู่
อย่างนี้ รู้ถ้อยคำนั้นอยู่อย่างมากว่า คำนี้พึงเป็นประโยชน์ดังนี้ ย่อมกล่าว
ถ้อยคำมาก มิใช่กล่าวเพราะพูดมากอย่างเดียว.
พึงทราบความสัมพันธ์กันแห่งคาถาสุดท้ายดังต่อไปนี้ พระพุทธสมณะ
ประกอบด้วยสัพพัญญุตญาณรู้อยู่ ย่อมแสดงธรรม รู้อยู่ย่อมกล่าวถ้อยคำมาก
อนึ่ง สมณะใดรู้อยู่ซึ่งธรรมอันพระพุทธสมณะนั้น แสดงแล้วด้วยญาณอันเป็น

ส่วนแห่งการรู้แจ้งแทงตลอด เป็นผู้สำรวมตน รู้เหตุที่ไม่นำประโยชน์เกื้อกูล
และความสุขมาให้แก่สัตว์ทั้งหลาย ย่อมไม่กล่าวมาก สมณะนั้นเป็นมุนี ย่อม
ควรซึ่งปฏิปทาของมุนี สมณะนั้นเป็นมุนิได้เข้าถึงธรรมเครื่องเป็นมุนีแล้ว.
บทนั้นมีความดังต่อไปนี้ สมณะรู้อยู่ซึ่งธรรมนั้นเป็นผู้สำรวมตนแล้ว
คุ้มครองจิตแล้ว รู้คำที่ไม่นำประโยชน์เกื้อกูลและความสุขมาให้แก่สัตว์ทั้งหลาย
ย่อมไม่กล่าวมาก สมณะอย่างนี้ย่อมควรซึ่งความเป็นมุนี มุนีนั้นเป็นผู้ปฏิบัติ
เพื่อความเป็นมุนี ย่อมควรซึ่งปฏิปทาของมุนีอันได้แก่โมเนยยปฏิปทา มิใช่
ย่อมควรอย่างเดียวเท่านั้น ที่แท้มุนีนั้นพึงทราบว่า ได้ถึงธรรมเครื่องเป็นมุนี
อันได้แก่อรหัตมรรคญาณ เพราะเหตุนั้นพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงจบเทศนาลง
ด้วยธรรมเป็นยอดคือพระอรหัต.
พระนาลกเถระครั้นฟังดังนั้นแล้ว ได้เป็นผู้มีความปรารถนาน้อยใน
ฐานะ 3 คือในการเห็น 1 ในการฟัง 1 ในการถาม 1 เพราะเมื่อจบเทศนา
พระนาลกเถระนั้น มีจิตเลื่อมใสถวายบังคมพระผู้มีพระภาคเจ้าเข้าไปสู่ป่าไม่เกิด
ความโลเลว่า ทำอย่างไรดีหนอเราจะพึงได้เฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าอีก นี้คือ
ความเป็นผู้มีความปรารถนาน้อยในการเห็นของพระนาลกเถระนั้น. อนึ่งไม่เกิด
ความโลเลว่า ทำอย่างไรดีหนอเราจะพึงได้ฟังพระธรรมเทศนาอีก นี้คือความ
เป็นผู้มีความปรารถนาน้อยในการฟังของพระนาลกเถระนั้น. อนึ่งไม่เกิดความ
โลเลว่า ทำอย่างไรดีหนอ เราจะพึงได้ถามโมเนยยปฏิปทาอีก นี้คือความ
เป็นผู้ปรารถนาน้อยในการถามของพระนาลกเถระนั้น. พระนาลกเถระนั้นเป็น
ผู้มีความปรารถนาน้อยอย่างนี้ จึงเข้าไปยังเชิงภูเขา ไม่อยู่ตลอดสองวัน ณ

ไพรสณฑ์แห่งหนึ่ง ไม่นั่งตลอดสองวัน ณ โคนต้นไม้แห่งหนึ่ง ไม่เข้าไป
บิณฑบาตลอดสองวัน ณ บ้านแห่งหนึ่ง. พระนาลกเถระเที่ยวจากป่าสู่ป่า
จากต้นไม้สู่ต้นไม้ จากบ้านสู่บ้าน ปฏิบัติปฏิปทาอันสมควรแล้วตั้งอยู่ในผล
อันเลิศ. เพราะภิกษุผู้บำเพ็ญโมเนยยปฏิปทาอย่างอุกฤษฏ์ จะมีชีวิตอยู่ได้ 7
เดือนเท่านั้น บำเพ็ญอย่างกลางจะมีชีวิตอยู่ได้ 7 ปี บำเพ็ญอย่างอ่อนจะมี
ชีวิตอยู่ได้ 16 ปี พระนาลกเถระนี้บำเพ็ญอย่างอุกฤษฏ์ ฉะนั้นจะอยู่ได้ 7
เดือน รู้ว่าตนจะสิ้นอายุจึงอาบน้ำ นุ่งผ้า คาคผ้าพันกาย ห่มสังฆาฏิสองชั้น
บ่ายหน้าไปทางพระทศพล ถวายบังคมด้วยเบญจางคประดิษฐ์ประคองอัญชลี
ยืนพิงภูเขาหิงคุลิกะ ปรินิพพานด้วยอนุปาทิเสสนิพพานธาตุ พระผู้มีพระภาค-
เจ้าครั้นทรงทราบว่า พระนาลกเถระปรินิพพานแล้ว จึงเสด็จไป ณ ภูเขานั้น
พร้อมด้วยภิกษุสงฆ์ กระทำฌาปนกิจให้เก็บพระธาตุไปบรรจุยังเจดีย์แล้วเสด็จ
กลับ ด้วยประการฉะนี้.
จบอรรถกถานาลกสูตรที่ 11 แห่งอรรถกถาขุททกนิกาย
ชื่อปรมัตถโชติกา

ทวยตานุปัสสนาสูตรที่ 12


ว่าด้วยการพิจารณาเห็นธรรมเนือง ๆ


[390] ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้วอย่างนี้
สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ ณ บุพพาราม ปราสาทของ
นางวิสาขามิคารมารดา ใกล้พระนครสาวัตถี ก็สมัยนั้นแล เมื่อคืนเพ็ญพระ-
จันทร์เต็มดวงในวันอุโบสถที่ 15 ค่ำ พระผู้มีพระภาคเจ้าอันภิกษุสงฆ์แวดล้อม
ประทับนั่งอยู่กลางแจ้ง ทรงชำเลืองเห็นภิกษุสงฆ์สงบนิ่ง จึงตรัสกะภิกษุ
ทั้งหลายว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ถ้าจะพึงมีผู้ถามว่า จะมีประโยชน์อะไร
เพื่อการฟังกุศลธรรมอันเป็นอริยะ เป็นเครื่องนำออกไป อันให้ถึงปัญญาเป็น
เครื่องตรัสรู้ แก่ท่านทั้งหลาย เธอทั้งหลายพึงตอบเขาอย่างนี้ว่า มีประโยชน์
เพื่อรู้ธรรมเป็นธรรม 2 อย่างตามความเป็นจริง ถ้าจะพึงมีผู้ถามว่า ท่าน
ทั้งหลายกล่าว อะไรว่าเป็นธรรม 2 อย่าง พึงตอบเขาอย่างนี้ว่า การพิจารณา
เห็นเนือง ๆ ว่า นี้ทุกข์ นี้ทุกขสมุทัย นี้ข้อที่ 1 การพิจารณาเห็นเนือง ๆ ว่า
นี้ทุกขนิโรธ นี้ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา นี้เป็นข้อที่ 2 ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย
ภิกษุผู้พิจารณาเห็นธรรมเป็นธรรม 2 อย่างโดยชอบเนือง ๆ อย่างนี้ เป็นผู้
ไม่ประมาท มีความเพียร มีใจเด็ดเดี่ยวอยู่ พึงหวังผล 2 อย่าง อย่างใด
อย่างหนึ่ง คือ อรหัตผลในปัจจุบันนี้ หรือเมื่อยังมีความถือมั่นเหลืออยู่ เป็น
พระอนาคามี.
พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้สุคตศาสดา ครั้นตรัสไวยากรณภาษิตนี้จบลงแล้ว
จึงได้ตรัสคาถาประพันธ์ต่อไปอีกว่า